แนวข้อสอบนักวิชาการส่งเสริมการเกษตร อัตนัย
1. บอกความหมายของเกษตรผสมผสาน,เกษตรเชิงเดี่ยว,บอกข้อดีข้อเสียข้อจำกัด
ตอบ ระบบเกษตรผสมผสาน (Integrated Farming System) เป็นระบบการเกษตรที่มีการเพาะปลูกพืชหรือการเลี้ยงสัตว์ต่าง ๆ ชนิดอยู่ในพื้นที่เดียวกันภายใต้การเกื้อกูล ประโยชน์ต่อกันและกันอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด โดยอาศัยหลักการอยู่รวมกันระหว่างพืช สัตว์ และสิ่งแวด ล้อมการอยู่รวมกันอาจจะอยู่ในรูปความสัมพันธ์ระหว่างพืชกับพืช พืชกับสัตว์ หรือสัตว์กับสัตว์ก็ได้ ระบบ เกษตรผสมผสานจะประสบผลสำเร็จได้ จะต้องมีการวางรูปแบบ และดำเนินการ โดยให้ความสำคัญต่อกิจกรรม แต่ละชนิดอย่างเหมาะสมกับสภาพแวดล้อมทางกายภาพ เศรษฐกิจ สังคม มีการใช้แรงงาน เงินทุน ที่ดิน ปัจจัย การผลิตและทรัพยากรธรรมชาติอย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนรู้จักนำวัสดุเหลือใช้จากการผลิตชนิดหนึ่งมาหมุน เวียนใช้ประโยชน์กับการผลิตอีกชนิดหนึ่งกับการผลิตอีกชนิดหนึ่งหรือหลายชนิด ภายในไร่นาแบบครบวงจร ตัวอย่างกิจกรรมดังกล่าว เช่น การเลี้ยงไก่ หรือสุกรบนบ่อปลา การเลี้ยงปลาในนาข้าว การเลี้ยงผึ้งในสวนผลไม้ เป็นต้น
ข้อได้เปรียบของการทำระบบเกษตรผสมผสาน คือ
1. ลดความเสี่ยงเนื่องจากความแปรปรวนของสภาพลมฟ้าอากาศ ราคาผลผลิตที่ไม่แน่นอนและการระบาดของศัตรู พืช
2. ลดต้นทุนการผลิต เพิ่มประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากรภายในฟาร์ม ได้แก่ ที่ดิน แรงงานและเงินทุน
3. มีอาหารเพียงพอแก่การบริโภคภายในครัวเรือน และมีรายได้อย่างต่อเนืองตลอดปี
4. การใช้แรงงานสม่ำเสมอตลอดปี จึงทำให้ลดปัญหาการเคลื่อนย้ายแรงงานจากภาคการเกษตรไปสู่ภาคอื่น ๆ
5. เกษตรกรจะมีเศรษฐกิจที่พอเพียง จึงเป็นผลให้มีสภาพความเป็นอยู่และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
6. เป็นระบบการเกษตรที่เหมาะสมกับเกษตรกรรายย่อย
ข้อจำกัดของการทำระบบเกษตรผสมผสาน คือ
1. เกษตรกรจะต้องมีที่ดิน ทุน แรงงาน ที่เหมาะสม
2. เกษตรกรจะต้องมีความมานะ อดทน และขยันขันแข็ง
3. ต้องมีการวางแผนและการจัดการทรัพยากรภายในฟาร์มตลอดจนเทคโนโลยีในการผลิตที่ เหมาะสมสอดคล้อง สอดคล้องกับระบบการตลาดในท้องถิ่นและในระดับภูมิภาค
เกษตรเชิงเดี่ยว คือ การปลูกพืชหลักเพียงอย่างเดียว หรือปลูกพืชชนิดเดียวกันทั้งหมดเต็มพื้นที่ มีรายได้ทางเดียวจากพืชชนิดเดียวที่ปลูก
ข้อเสีย การทำการเกษตรเชิงเดี่ยว มีความเสี่ยงสูงหากไม่มีการบริหารจัดการที่ดี เนื่องจากราคาพืชผลผันแปรตามตลาด
2. ข้าวอินทรีย์คืออะไร มีขั้นตอนการผลิตอย่างไร แนะนำวิธีการผลิตข้าวโดยลดการใช้สารเคมี
ตอบ ข้าวอินทรีย์(Organicrice) เป็นข้าวที่ได้จากการผลิตแบบเกษตรอินทรีย์ (Organic agriculture
หรือ Organic Farming) ซึ่งเป็นวิธีการผลิตที่หลีกเลี่ยงการใช้สารเคมี หรือสารสังเคราะห์ต่างๆ เป็นต้นว่า
ปุ๋ยเคมี สารควบคุมการเจริญเติบโตสารควบคุมและกำจัดวัชพืช สารป้องกันกำจัดโรคแมลงและสัตว์
ศัตรูข้าวในทุกขั้นตอนการผลิตและในระหว่างการเก็บรักษาผลผลิต หากมีความจำเป็น แนะนำให้
ใช้วัสดุจากธรรมชาติและสารสกัดจากพืชที่ไม่มีพิษต่อคนหรือไม่มีสารพิษตกค้างปนเปื้อนในผลิตผล
ในดินและน้ำ ในขณะเดียวกันก็เป็นการรักษาสภาพแวดล้อม ทำให้ได้ผลิตผลข้าวที่มีคุณภาพดี
ปลอดภัยจากอันตรายของผลตกค้างส่งผลให้ผู้บริโภคมีสุขอนามัยและคุณภาพชีวิตที่ดีเทคโนโลยี
การผลิตข้าวอินทรีย์ มีขั้นตอนการปฏิบัติ เช่นเดียวกับการผลิตข้าวโดยทั่วไปจะแตกต่างกัน ตรงที่ต้องหลีกเลี่ยงการใช้สารเคมีสังเคราะห์ในทุกขั้นตอนการผลิต จึงมีข้อควรปฏิบัติ ดังนี้
1. การเลือกพื้นที่ปลูก
เลือกพื้นที่ที่มีขนาดใหญ่ติดต่อกัน และมีความอุดมสมบูรณ์ของดินโดยธรรมชาติค่อนข้างสูง ประกอบด้วยธาตุอาหารที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของข้าวอย่างเพียงพอ มีแหล่งน้ำสำหรับเพาะปลูก ไม่ควรเป็นพื้นที่ที่มีการใช้สารเคมีในปริมาณมากติดต่อกันเป็นเวลานาน หรือมีการปนเปื้อนของสารเคมีสูง และห่างจากพื้นที่ที่มีการใช้สารเคมีการเกษตร พื้นที่ที่จะใช้ในการผลิตข้าวโดยปกติมีการตรวจสอบหาสารตกค้างในดินหรือในน้ำ
2. การเลือกใช้พันธุ์ข้าว
พันธุ์ข้าวที่ใช้ปลูกควรมีคุณสมบัติด้านการเจริญเติบโตเหมาะสมกับสภาพแวดล้อมในพื้นที่ปลูกและให้ผลผลิตได้ดีแม้ในสภาพดินที่มีความอุดมสมบูรณ์ค่อนข้างต่ำ ต้านทานโรค แมลงที่สำคัญ และมีคุณภาพเมล็ดตรงกับความต้องการของผู้บริโภคข้าวอินทรีย์ การผลิตข้าวอินทรีย์ในปัจจุบันส่วนใหญ่ใช้พันธุ์ขาวดอกมะลิ 105 และ กข 15 ซึ่งทั้งสองพันธุ์เป็นข้าวที่มีคุณภาพเมล็ดดีเป็นพิเศษ
3. การเตรีมเมล็ดพันธุ์ข้าว
เลือกใช้เมล็ดพันธุ์ข้าวที่ได้มาตรฐานผลิตจากแปลงผลิตพันธุ์ข้าวที่ได้รับการดูแลอย่างดี มีความงอกแรงผ่านการเก็บรักษาโดยไม่ใช้สารเคมีสังเคราะห์ ปราศจากโรคแมลง และเมล็ดวัชพืช หากจำเป็นต้องป้องกันโรคที่ติดมากับเมล็ดพันธุ์อนุโลมให้นำมาแช่ในสารละลายจุนสี (จุนสี 1 กรัมต่อน้ำ 1 ลิตร) เป็นเวลานาน 20 ชั่วโมง แล้วล้างด้วยน้ำก่อนนำไปปลูก
4. การเตรียมดิน
วัตถุประสงค์หลักของการเตรียมดิน คือสร้างภาพที่เหมาะสมต่อการปลูกและการเจริญเติบโตของข้าว ช่วยควบคุมวัชพืช โรค แมลง และสัตว์ศัตรูข้าวบางชนิด การเตรียมดินมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับคุณสมบัติดินและสภาพแวดล้อมในแปลงนาก่อนปลูกโดยการไถดะ ไถแปร คราด และทำเทือก
5. วิธีการปลูก
การปลูกข้าวแบบปักดำ จะเหมาะสมที่สุดกับการผลิตข้าวอินทรีย์ เพราะการเตรียมดิน ทำเทือก การรักษาระดับน้ำขังในนาจะช่วยควบคุมวัชพืชได้ และการปลูกกล้าข้าวลงดินจะช่วยให้ข้าวสามารถแข่งขันกับวัชพืชได้ ต้นกล้าที่ใช้ปักดำควรมีอายุประมาณ 30 วัน เลือกต้นกล้าที่เจริญเติบโตแข็งแรงดี ปราศจากโรคและแมลงทำลาย เนื่องจากในการผลิตข้าวอินทรีย์ต้องหลีกเลี่ยงการใช้สารสังเคราะห์ทุกชนิด โดยเฉพาะปุ๋ยเคมี จึงแนะนำให้ใช้ระยะปลูกถี่กว่าระยะปลูกที่แนะนำสำหรับการปลูกข้าวโดยทั่วไปเล็กน้อย คือ ประมาณ 20x20 เซนติเมตร จำนวนต้นกล้า 5 ต้นต่อกอ และใช้ระยะปลูกแคบกว่านี้ หากดินนามีความอุดมสมบูรณ์ค่อนข้างต่ำ ในกรณีที่ต้องปลูกล่าหรือปลูกหลังจากช่วงเวลาปลูกที่เหมาะสมของข้าวแต่ละพันธุ์ และมีปัญหา เรื่องการขาดแคลนแรงงาน แนะนำให้เปลี่ยนไปปลูกวิธีอื่นที่เหมาะสม
6. การจัดการความอุดมสมบูรณ์ของดิน
เนื่องจากการปลูกข้าวอินทรีย์ต้องหลีกเลี่ยงการใช้ปุ๋ยเคมี ดังนั้นการเลือกพื้นที่ปลูกที่ดินมีความ อุดมสมบูรณ์สูงตามธรรมชาติ จึงเป็นการเริ่มต้นที่ได้เปรียบ เพื่อที่จะรักษาระดับผลผลิตให้อยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจ นอกจากนี้เกษตรกรยังต้องรู้จักการจัดการดินที่ถูกต้อง และพยายามรักษาความอุดมสมบูรณ์ของดินให้เหมาะสมกับการปลูกข้าวอินทรีย์ให้ได้ผลดีและยั่งยืนมากที่สุดอีกด้วย
คำแนะนำเกี่ยวกับการจัดการความอุดมสมบูรณ์ของดิน สำหรับการผลิตข้าวอินทรีย์ สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ส่วนคือ การจัดการดิน การใช้ปุ๋ยอินทรีย์ และการใช้วัสดุอินทรีย์ทดแทนปุ๋ยเคมี
7. ระบบการปลูกพืช
ปลูกข้าวอินทรีย์เพียงปีละครั้ง โดยเลือกช่วงเวลาปลูกที่เหมาะสมกับข้าวแต่ละพันธุ์ และปลูกพืช หมุนเวียนโดยเฉพาะพืชตระกูลถั่วก่อนและหลังการปลูกข้าว อาจปลูกข้าวอินทรีย์ร่วมกับพืชตระกูลถั่ว ก็ได้ ถ้าสภาพแวดล้อมเหมาะสม
8. การควบคุมวัชพืช
หลีกเลี่ยงการใช้สารเคมีสังเคราะห์ทุกชนิดในการควบคุมวัชพืช แนะนำให้ควบคุมวัชพืชโดยวิธีกล เช่น การเตรียมดินที่เหมาะสม วิธีการทำนาที่ลดปัญหาวัชพืช การใช้ระดับน้ำควบคุมวัชพืช การใช้วัสดุคลุมดิน การถอนด้วยมือ วิธีเขตกรรมต่างๆ การใช้เครื่องมือ รวมทั้งการปลูกพืชหมุนเวียน เป็นต้น
9. การป้องกันกำจัดโรค แมลง และสัตว์ศัตรูพืช
หลักการสำคัญของการป้องกันกำจัดโรคแมลง และสัตว์ศัตรูข้าวในการผลิตข้าวอินทรีย์ มีดังนี้
+ ไม่ใช้สารสังเคราะห์ในการป้องกันกำจัดโรคแมลง และสัตว์ศัตรูข้าวทุกชนิด
+ ใช้ข้าวพันธุ์ต้านทาน
+ การปฏิบัติด้านเขตกรรม เช่น การเตรียมแปลง กำหนดช่วงเวลาปลูกที่เหมาะสม ใช้อัตราเมล็ดและระยะปลูกที่เหมาะสม การปลูกพืชหมุนเวียนเพื่อตัดวงจรการระบาด ของโรค แมลง และสัตว์ศัตรูข้าว การรักษาความอุดมสมบูรณ์ของดิน และสมดุลของธาตุอาหารพืช การจัดการน้ำ เพื่อให้ต้นข้าวเจริญเติบโตดี สมบูรณ์และแข็งแรง สามารถลดการทำลายของโรคแมลงและสัตว์ศัตรูข้าวได้ส่วนหนึ่ง
+ การจัดการสภาพแวดล้อมไม่ให้เหมาะสมกับการระบายของโรค แมลง และสัตว์ศัตรูข้าว เช่น การจำจัดวัชพืช การกำจัดเศษซากพืชที่เป็นโรคโดยใช้ปูนขาว หรือกำมะถันผงที่ไม่ผ่านกระบวนการทางเคมี และควรปรับสภาพดินไม่ให้เหมาะสมกับการระบาดของโรค
+ การรักษาความสมดุลทางธรรมชาติ โดยส่งเสริมการเผยแพร่ขยายปริมาณของแมลงที่มีประโยชน์ เช่น ตัวห้ำ ตัวเบียน และศัตรูธรรมชาติ เพื่อช่วยควบคุมแมลงและสัตว์ศัตรูข้าว
+ การปลูกพืชขับไล่แมลงบนคันนา เช่น ตะไคร้หอม
+ หากมีความจำเป็นอนุญาตให้ใช้สารสกัดจากพืช เช่น สะเดา ข่า ตะไคร้หอม ใบแคฝรั่ง เป็นต้น
+ ใช้วิธีกล เช่น ใช้แสงไฟล่อ ใช้กับดัก ใช้กาวเหนียว
+ ในกรณีที่ใช้สารเคมีกำจัดควรกระทำโดยทางอ้อม เช่นนำไปผสมกับเหยื่อล่อในกับดักแมลงหรือใช้สารพิษกำจัดสัตว์ศัตรูข้าว ซึ่งจะต้องใช้อย่างระมัดระวัง และต้องกำจัดสารเคมีที่เหลือรวมทั้งศัตรูข้าวที่ถูกทำลายโดยเหยื่อพิษอย่างถูกวิธี หลังจากปฏิบัติเสร็จแล้ว
10. การจัดการน้ำ
ระดับน้ำมีความสัมพันธ์กับการเจริญเติบโตทางลำต้น และการให้ผลผลิตของข้าวโดยตรง ในระยะปักดำจนถึงแตกกอ ถ้าระดับน้ำสูงมากจะทำให้ต้นข้าวสูงเพื่อหนีน้ำทำให้ต้นอ่อนแอและล้มง่าย ในระยะนี้ควรรักษาระดับน้ำให้อยู่ที่ประมาณ 5 เซนติเมตร แต่ถ้าต้นขาดน้ำจะทำให้วัชพืชเติบโตแข่งกับต้นข้าวได้ ดังนั้นระดับน้ำที่เหมาะสมต่อการปลูกข้าวอินทรีย์ ตลอดฤดูปลูกควรเก็บรักษาไว้ที่ประมาณ 5-15 เซนติเมตร จนถึงระยะก่อนเก็บเกี่ยวประมาณ 7-10 วัน จึงระบายน้ำออกเพื่อให้ข้าวสุกแก่พร้อมกัน และพื้นนาแห้งพอเหมาะต่อการเก็บเกี่ยว
11. การจัดการก่อนและหลังการเก็บเกี่ยว
เก็บเกี่ยวหลังข้าวออกดอก ประมาณ 30 วัน สังเกตจากเมล็ดในรวงข้าวส่วนใหญ่เปลี่ยนเป็นสีฟาง เรียกว่าระยะข้าวพลับพลึง
12. การเก็บรักษาผลผลิต
ก่อนนำเมล็ดข้าวไปเก็บรักษา ควรลดความชื้นให้ต่ำกว่า 14 เปอร์เซ็นต์ และเก็บรักษาด้วยวิธีจัดสภาพแวดล้อมให้เหมาะสม เป็นต้นว่า เก็บในห้องที่ควบคุมอุณหภูมิ การใช้ภาชนะเก็บที่มิดชิดหรืออาจใช้เทคนิคการใช้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ในการเก็บรักษา การเก็บในห้องที่มีอุณหภูมิต่ำจะป้องกันการเจริญเติบโตของโรคและแมลงได้
13. การบรรจุหีบห่อ
ควรบรรจุในถุงขนาดเล็กตั้งแต่ 1 กิโลกรัมถึง 5 กิโลกรัม โดยใช้วิธีอัดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ หรือก๊าซเฉื่อย หรือเก็บในสภาพสุญญากาศ
วิธีการผลิตข้าวโดยลดการใช้สารเคมี
- หลีกเลี่ยงการใช้ปุ๋ยเคมีสังเคราะห์ทุกชนิด และพยายามแสวงหาปุ๋ยอินทรีย์จากธรรมชาติมาใช้อย่างสม่ำเสมอ แต่เนื่องจากปุ๋ยอินทรีย์ธรรมชาติแทบทุกชนิดมีความเข้มข้นของธาตุอาหารค่อนข้างต่ำ จึงต้องใช้ในปริมาณที่สูงมากและอาจมีไม่พอเพียงสำหรับการปลูกข้าวอินทรีย์ และถ้าหากมีการจัดการที่ไม่เหมาะสมก็จะเป็นการเพิ่มต้นทุนการผลิต จึงแนะนำให้ใช้หลักการธรรมชาติที่ว่า “สร้างให้เกิดขึ้นในพื้นที่ ใช้ทีละเล็กทีละน้อยสม่ำเสมอเป็นประจำ”
- การใช้อินทรียวัตถุบางอย่างทดแทนปุ๋ยเคมี หากปฏิบัติตามคำแนะนำเกี่ยวกับการจัดการความอุดมสมบูรณ์ของดินข้างต้นแล้วยังพบว่าดินมีความอุดมสมบูรณ์ไม่เพียงพอหรือขาดธาตุอาหารที่สำคัญบางชนิดไปสามารถนำอินทรียวัตถุจากธรรมชาติต่อไปนี้ ทดแทนปุ๋ยเคมีบางชนิดได้คือ
+ แหล่งธาตุไนโตรเจน: เช่น แหนแดง สาหร่ายสีน้ำเงินแกมเขียว กากเมล็ดสะเดา เลือดสัตว์แห้ง กระดูกป่น เป็นต้น
+ แหล่งธาตุฟอสฟอรัส: เช่น หินฟอสเฟต กระดูกป่น มูลไก่ มูลค้างคาว กากเมล็ดพืช ขี้เถ้าไม้ สาหร่ายทะเล เป็นต้น
+ แหล่งธาตุโพแทสเซียม: เช่น ขี้เถ้า และหินปูนบางชนิด
+ แหล่งธาตุแคลเซียม: เช่น ปูนขาว โดโลไมท์ เปลือกหอยป่น กระดูกป่น เป็นต้น
3. การสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ใหม่มีหลักอย่างไร
ตอบ ผลิตภัณฑ์ใหม่ (New Products) ในทางการตลาดประกอบด้วย ผลิตภัณฑ์มที่ไม่เคยมีในตลาด เรียกว่า นวตกรรม (Innovation) ผลิตภัณฑ์ที่ปรับปรุงใหม่ (Product Improvment) และผลิตภัณฑ์ที่ผู้ผลิตทำขึ้นมาลักษณะเหมือนผลิตภัณฑ์ของคู่แข่งขันที่มีจำหน่ายในตลาดแล้ว (Mee-too Products) ดังนั้นที่มาของผลิตภัณฑ์ใหม่น่าจะเกิดจากคามต้องการเป็นผู้บุกเบิก (Pioneer) ในตลาดของธุรกิจ ความต้องการปรับปรุงสินค้าให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป และควมาต้องการมีสินค้าจำหน่ายครอบคลุมทุกชนิด เพื่อให้สามารถต่อสู้กับคู่แข่งขันได้
ขั้นตอนการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ (New Product Development Process) กระบวนการในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่แบ่งออกได้เป็น 6 ขั้นตอน ดังนี้
1. การแสวงหาความคิดเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ใหม่ (Exploration)
2. การกลั่นกรองความคิด (Idea Screening)
3. การวิเคราะห์เชิงธุรกิจ (Business Analysis)
4. การพัฒนาผลิตภัณฑ์(Product Development)
5. การทดสอบตลาด ( Market Testing)
6. การวางตลาดสินค้า (Commercialization)
การสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ใหม่มีหลักการดังนี้
1. การออกแบบด้านความแข็งแรง
2. การแข่งขันโดยใช้เวลาเป็นพื้นฐาน
3. การออกแบบให้เป็นมาตรฐาน
4. การออกแบบโดยใช้คอมพิวเตอร์ช่วย
5. การวิเคราะห์คุณค่า การวิเคราะห์คุณค่า
6. การวิเคราะห์ผลิตภัณฑ์ด้วยคุณค่า
การพัฒนาผลิตภัณฑ์ ควรคำนึงถึง
(1) ระบบการพัฒนาผลิตภัณฑ์
(2) การจัดองค์การสำหรับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ ประเด็นสำหรับการพัฒนาผลิตภัณฑ์เน้น การออกแบบด้านความแข็งแรง การแข่งขันโดยใช้เวลาเป็นพื้นฐาน การออกแบบให้เป็นมาตรฐาน การออกแบบโดยใช้คอมพิวเตอร์ช่วย การวิเคราะห์คุณค่า การวิเคราะห์ผลิตภัณฑ์ด้วยคุณค่า
4. จงอธิบาย หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระเจ้าอยู่หัว มาให้เข้าใจ
ตอบ “เศรษฐกิจพอเพียง” เป็นปรัชญาที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำรัสชี้แนะแนวทางการดำเนินชีวิตแก่ พสกนิกรชาวไทยมาโดยตลอดนานกว่า ๒๕ ปี ตั้งแต่ก่อนวิกฤติการณ์ทางเศรษฐกิจ และเมื่อภายหลังได้ทรงเน้นย้ำแนวทางการแก้ไขเพื่อให้รอดพ้น และสามารถดำรงอยู่ได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนภายใต้กระแสโลกาภิวัตน์และความเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ
เศรษฐกิจพอเพียง เป็นปรัชญาชี้ถึงแนวการดำรงอยู่และปฏิบัติตนของประชาชนในทุกระดับตั้งแต่ระดับครอบครัว ระดับชุมชนจนถึงระดับรัฐ ทั้งในการพัฒนาและบริหารประเทศให้ดำเนินไปใน ทางสายกลาง โดยเฉพาะการพัฒนาเศรษฐกิจเพื่อให้ก้าวทันต่อโลกยุคโลกาภิวัตน์
ความพอเพียง หมายถึง ความพอประมาณ ความมีเหตุผลรวมถึงความจำเป็นที่จะต้องมีระบบภูมิคุ้มกันในตัวที่ดีพอสมควรต่อการมีผลกระทบใด ๆ อันเกิดจากการเปลี่ยนแปลงทั้งภายนอกและภายใน ทั้งนี้จะต้องอาศัยความรอบรู้ ความรอบคอบ และความระมัดระวังอย่างยิ่ง ในการนำวิชาการต่าง ๆ มาใช้ในการวางแผนและการดำเนินการทุกขั้นตอน และขณะเดียวกันจะต้องเสริมสร้างพื้นฐานจิตใจของคนในชาติโดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ของรัฐนักทฤษฎีและนักธุรกิจในทุกระดับให้มีสำนึกในคุณธรรม ความซื่อสัตย์สุจริตและให้มีความรอบรู้ที่เหมาะสม ดำเนินชีวิตด้วยความอดทน ความเพียร มีสติ ปัญญา และความรอบคอบ เพื่อให้สมดุลและพร้อมต่อการรองรับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและกว้างขวางทั้งด้านวัตถุ สังคมสิ่งแวดล้อม และวัฒนธรรมจากโลกภายนอกได้เป็นอย่างดี
5. บอกความหมายของเกษตรผสมผสาน,เกษตรเชิงเดี่ยว,บอกข้อดี ข้อเสีย ข้อจำกัด
ตอบ ระบบเกษตรผสมผสาน (Integrated Farming System) เป็นระบบการเกษตรที่มีการเพาะปลูกพืชหรือการเลี้ยงสัตว์ต่าง ๆ ชนิดอยู่ในพื้นที่เดียวกันภายใต้การเกื้อกูล ประโยชน์ต่อกันและกันอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด โดยอาศัยหลักการอยู่รวมกันระหว่างพืช สัตว์ และสิ่งแวด ล้อมการอยู่รวมกันอาจจะอยู่ในรูปความสัมพันธ์ระหว่างพืชกับพืช พืชกับสัตว์ หรือสัตว์กับสัตว์ก็ได้ ระบบ เกษตรผสมผสานจะประสบผลสำเร็จได้ จะต้องมีการวางรูปแบบ และดำเนินการ โดยให้ความสำคัญต่อกิจกรรม แต่ละชนิดอย่างเหมาะสมกับสภาพแวดล้อมทางกายภาพ เศรษฐกิจ สังคม มีการใช้แรงงาน เงินทุน ที่ดิน ปัจจัย การผลิตและทรัพยากรธรรมชาติอย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนรู้จักนำวัสดุเหลือใช้จากการผลิตชนิดหนึ่งมาหมุน เวียนใช้ประโยชน์กับการผลิตอีกชนิดหนึ่งกับการผลิตอีกชนิดหนึ่งหรือหลายชนิด ภายในไร่นาแบบครบวงจร ตัวอย่างกิจกรรมดังกล่าว เช่น การเลี้ยงไก่ หรือสุกรบนบ่อปลา การเลี้ยงปลาในนาข้าว การเลี้ยงผึ้งในสวนผลไม้ เป็นต้น
ข้อได้เปรียบของการทำระบบเกษตรผสมผสาน คือ
1. ลดความเสี่ยงเนื่องจากความแปรปรวนของสภาพลมฟ้าอากาศ ราคาผลผลิตที่ไม่แน่นอนและการระบาดของศัตรู พืช
2. ลดต้นทุนการผลิต เพิ่มประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากรภายในฟาร์ม ได้แก่ ที่ดิน แรงงานและเงินทุน
3. มีอาหารเพียงพอแก่การบริโภคภายในครัวเรือน และมีรายได้อย่างต่อเนืองตลอดปี
4. การใช้แรงงานสม่ำเสมอตลอดปี จึงทำให้ลดปัญหาการเคลื่อนย้ายแรงงานจากภาคการเกษตรไปสู่ภาคอื่น ๆ
5. เกษตรกรจะมีเศรษฐกิจที่พอเพียง จึงเป็นผลให้มีสภาพความเป็นอยู่และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
6. เป็นระบบการเกษตรที่เหมาะสมกับเกษตรกรรายย่อย
ข้อจำกัดของการทำระบบเกษตรผสมผสาน คือ
1. เกษตรกรจะต้องมีที่ดิน ทุน แรงงาน ที่เหมาะสม
2. เกษตรกรจะต้องมีความมานะ อดทน และขยันขันแข็ง
3. ต้องมีการวางแผนและการจัดการทรัพยากรภายในฟาร์มตลอดจนเทคโนโลยีในการผลิตที่ เหมาะสมสอดคล้อง สอดคล้องกับระบบการตลาดในท้องถิ่นและในระดับภูมิภาค
เกษตรเชิงเดี่ยว คือ การปลูกพืชหลักเพียงอย่างเดียว หรือปลูกพืชชนิดเดียวกันทั้งหมดเต็มพื้นที่ มีรายได้ทางเดียวจากพืชชนิดเดียวที่ปลูก
ข้อเสีย การทำการเกษตรเชิงเดี่ยว มีความเสี่ยงสูงหากไม่มีการบริหารจัดการที่ดี เนื่องจากราคาพืชผลผันแปรตามตลาด
(6) จงอธิบายความแตกต่างระหว่างโครงการประกันราคาข้าวของรัฐบาลชุดก่อนกับโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลชุดปัจจุบัน
โครงการประกันราคา เป็นโครงการที่เกิดขึ้นในสมัยรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์เพื่อแก้ ปัญหาการคอรัปชันจากการรับจำนำจากรัฐบาลชุดก่อน เพื่อเป็นการประกันว่า
เกษตรกรจะขายข้าวได้ไม่ต่ำกว่า 1 หมื่นบาท และอาจจะปรับขึ้นในปีต่อไป
ข้อดี
- เป็นการประกันว่าชาวนาจะขายข้าว ได้ไม่ต่ำกว่าหมื่นบาท (และจะปรับขึ้น ในปีต่อไป) แม้ว่าราคาข้าวในท้อง ตลาดจะเป็นเท่าไรทางรัฐจะชดเชยส่วนที่ขาดหายไปให้
- จำนวนเกษตรกรจะได้รับประโยชน์จากโครงการนี้มากกว่า
- ราคาข้าวจะเป็นไปตามกลไกตลาดไม่มีการบิดเบือน
- ปัญหาทุจริตคอรัปชันจากเจ้าหน้าที่รัฐมีน้อยมากเพราะเงินสู่มือชาวนาโดยตรงผ่านธนาคาร ธ.ก.ส.
- แม้เกิดภัยพิบัติจากน้าท่วม,ศัตรูพืช ระบาดชาวนาก็จะยังได้ส่วนต่างแม้ไม่มีผลผลิต
ข้อเสี
- รัฐต้องจ่ายเงินไปสู่เกษตรโดยตรง ทำให้รัฐต้องจ่ายเงินเพื่อการนี้เป็นจำนวนมากโดยไม่ได้อะไรกลับมา
- มีการแจ้งการทำนาที่เป็นเท็จ เช่นทำนา 10 ไร่บอกว่า
ไม่กล้าคัดค้านหรืออาจเนื่องจากต่างคนต่างแจ้งเท็จด้วยกัน เรื่องนี้มีบ่นกัน มาก
- ทำให้ราคาข้าวไม่ขึ้นเกินหนึ่งหมื่น บาทเพราะพ่อค้ารับซื้อรู้ว่ารัฐจ่ายส่วนต่างให้เกษตรแล้วเหมือนรัฐกดราคาข้าวไม่ให้เกินหนึ่งหมื่นบาท
- การจ่ายเงินส่วนต่างจะจ่ายให้แค่25 ตัน ถ้าใครได้เกินกว่า 25 ตัน ไม่ได้รับส่วนต่าง
- คิดให้ผลผลิตข้าวที่
โครงการรับจำนำข้าว เป็นโครงการที่เกิดขึ้นในสมัยพรรคไทยรักไทยเป็นรัฐบาล และมาหยุดโครงการดังกล่าวในรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ เนื่องจากพรรคประชาธิปัตย์เห็นว่า มีช่องโหวในเรื่องของการคอรัปชัน ในขณะที่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยได้ก้าวเข้ามาครั้งนี้ จึงนำนโยบายดังกล่าวกลับมาใช้อีกครั้งหนึ่ง
ข้อดี
- จากการประกาศจำนำราคาข้าวที่ 15,000 บาท ชาวนาจะได้รับเงิน 15,000 เลย (กรณีข้าวมีความชื้นที่
15 เปอร์เซนต์) ซึ่งเป็นเงินสด
- ชาวนา มีข้าวเท่าไรก็ขายได้ตาม จำนวนผลผลิตที่ได้ เช่น หากทำนา มีข้าว 10 ตัน ก็ได้ทั้ง 10 ตัน เป็นเงิน 150,000 บาท
-ชาวนาจะได้รับเป็นเงินสดทันทีเมื่อขายข้าว
- จะทำให้ ราคาข้าวในท้องตลาดเพิ่มขึ้น เนื่องจากถ้าพ่อค้าไม่รับซื้อ ในราคาสูงก็ไม่มีข้าวขายเพราะรัฐ
จะซื้อเองหมด
- รัฐบาลสามารถควบคุมราคาซื้อ-ขาย ข้าวได้ (ในการส่งออกและบริโภคภาย ในประเทศ)
ข้อเสีย
- จากอดีตที่ผ่านมามีการคอรัปชันสูง ทำให้รัฐต้องขาดทุนปีละหลายหมื่น ล้าน
- รัฐอาจต้องสร้างโกดังไว้เก็บข้าวเอง จำนวนมาก
- เป็นการ บิดเบือนกลไกตลาดทำให้ รัฐต้องใช้เงินจำนวนมากไปซื้อข้าวซึ่ง รัฐไม่น่าจะมีเงินมากมาซื้อข้าวชาวนาได้ทั้งหมดในกรณีที่พ่อค้าไม่รับซื้อข้าวแข่ง
- รัฐต้องเสียเงินจำนวนไม่น้อยในการสต๊อกข้าวและรักษาคุณภาพข้าวจำนวนมากถ้าขายข้าวไม่ได้
- อาจมีข้าวจากต่างประเทศเข้ามาสวมสิทธิ์
(7) จงอธิบายแนวคิดเบื้องต้นในการกำหนดนโยบายการเกษตร
1. ตอบ นโยบายเกี่ยวข้องกับการเกษตรมีมากมาย ทั้งที่เกี่ยวข้องกับการผลิตทางการเกษตรและที่เกี่ยวข้องกับตัวเกษตรกร ซึ่งต้องครอบคลุมถึงเรื่องต่างๆ ที่มีผลให้เกษตรกรมีการกินดีอยู่ดี นอกจากนั้นยังต้องมีนโยบายเกี่ยวกับการตลาด เกี่ยวกับราคาและอื่นๆที่มีผลต่อการเกษตร
2. นโยบายแต่ละอย่างย่อมกำหนดขั้นตอนเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ และเป้าหมายอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือหลายอย่างร่วมกัน
3. การกำหนดนโยบายเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ ที่ต้องอาศัยเหตุผลประกอบมาก โดยพิจารณาจากปัญหาที่กำลังประสบอยู่และคิดว่าจะมีขึ้นในวันข้างหน้า พิจารณาจากความเชื่อและค่านิยมของผู้เกี่ยวข้อง รวมทั้งเหตุผลทางด้านการเมือง
4. นโยบายแต่ละอย่างที่กำหนดขึ้นย่อมจะได้ผลและไม่ได้ผล ผู้ที่เกี่ยวข้องควรจะสามารถวิเคราะห์ได้ว่านโยบายใดเหมาะสมหรือไม่เพียงใด
เป้าหมายและวัตถุประสงค์ของนโยบาย
1. นโยบายหมายถึง แนวปฏิบัติหรือวิธีการดำเนินการเพื่อให้บรรลุตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้
2. ในทุกสังคมย่อมจะต้องมีเป้าหมายที่สังคมเห็นว่าในระยะยาวแล้วต้องการจะเห็นสังคมมีลักษณะอย่างไร จากเป้าหมายจำต้องกำหนดวัตถุประสงค์ที่ให้ได้รับในระยะสั้นๆ
3. การจะบรรลุเป้าหมายและวัตถุประสงค์ได้ก็แล้วแต่นโยบายที่กำหนดและการปฏิบัติตามนโยบาย
4. ในแต่ละนโยบายก็จำจะต้องประกอบด้วยโครงการต่างๆเพื่อให้แน่ใจว่าเมื่อปฏิบัติตามนโยบายแล้วจะสามารถบรรลุวัตถุประสงค์
ความหมายของนโยบาย
1. สังคมต้องมีการเปลี่ยนแปลงเพื่อจะได้ดำเนินไปสู่เป้าหมายที่ต้องการถ้าสังคมมีเป้าหมายแต่ไม่มีนโยบายก็ไม่มีโอกาสที่จะบรรลุเป้าหมายได้
2. นโยบายหมายถึงแนวปฏิบัติหรือวิธีดำเนินการเพื่อให้บรรลุตามวัตถุประสงค์อย่างใดอย่างหนึ่งที่กำหนดไว้ส่วนโครงการหมายถึงแผนปฏิบัติหรือลักษณะการดำเนินงานในแต่ละเรื่อง นโยบายเรื่องหนึ่งอาจจะมีแผนปฏิบัติหลายแผน ซึ่งแต่ละแผนก็เกี่ยวข้องกันภายใต้นโยบายเรื่องนั้นๆ
3. ถ้ามีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มเติมผลิตผลต่อไร่ นโยบายที่จำเป็นอาจจะเป็นเรื่องการจัดหาปัจจัยการผลิต (เช่น ปุ๋ย พันธุ์ สินเชื่อ) การปรับปรุงระบบชลประทาน นโยบายราคาต้องสูงและจูงใจที่จะให้เกษตรกรปรับปรุงการผลิต
การกำหนดเป้าหมายและวัตถุประสงค์
1. เปรียบเทียบเป้าหมายกับวัตถุประสงค์ เป้าหมาย หมายถึง สิ่งที่ต้องการจะให้บรรลุผลในระยะยาว อาจจะเป็น 50 ปี หรือ 100 ปี หรือนานกว่านั้น ส่วนวัตถุประสงค์เป็นสิ่งที่ต้องการจะให้บรรลุในระยะสั้น เช่น ห้าปี หรือแปดปี ซึ่งเมื่อบรรลุตามวัตถุประสงค์แล้วจะช่วยให้บรรลุเป้าหมายด้วย
2. หลักเกณฑ์ในการกำหนดเป้าหมายและวัตถุประสงค์ของสังคมส่วนรวม เป้าหมายของสังคมจะเป็นเช่นไรขึ้นอยู่กับความต้องการของสังคม หรือสมาชิกส่วนรวมของสังคม แล้วแต่ลักษณะสังคมและวัฒนธรรมของสังคมนั้นๆ ส่วนวัตถุประสงค์นั้นกำหนดมาจากทรัพยากรที่มีและที่คาดว่าจะสามารถบรรลุตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้
3. ลักษณะของวัตถุประสงค์ถ้าต้องการจะให้บรรลุภายในระยะห้าปี เป็นวัตถุประสงค์ระยะสั้น เช่น เพิ่มผลิตผลต่อไร่ ปรับปรุงระบบชลประทาน ขยายการให้บริการสินเชื่อ จะสำเร็จมากน้อยแค่ไหนก็ขึ้นกับทรัพยากรที่มี
ความสัมพันธ์ระหว่างนโยบาย วัตถุประสงค์และเป้าหมาย
1. วัตถุประสงค์ที่กำหนดขึ้นว่าถ้าบรรลุวัตถุประสงค์แล้ว จะมีส่วนทำให้บรรลุเป้าหมายได้ เช่น ถ้ากำหนดเป้าหมายว่าจะให้ประชาชนส่วนใหญ่มีการกินดีอยู่ดี วัตถุประสงค์ที่กำหนดขึ้นอาจจะเป็นการเพิ่มรายได้จากการปลูกพืช การเพิ่มการมีงานทำนอกสาขาเกษตร การเพิ่มบริการสาธารณสุข และปรับปรุงการโภชนาการ ซึ่งถ้าวัตถุประสงค์เหล่านี้ประสบความสำเร็จก็จะมีส่วนทำให้ประชาชนมีการกินดีอยู่ดีได้
2. นโยบายที่จำเป็นจะต้องมีเพื่อให้บรรลุตามวัตถุประสงค์เช่น ถ้าจะให้บรรลุวัตถุประสงค์การเพิ่มการมีงานทำนอกสาขาเกษตรนโยบายที่จำเป็นได้แก่การสนับสนุนอุตสาหกรรมขนาดย่อมในชนบท การจัดหางานทำในฤดูแล้ง การส่งเสริมอุตสาหกรรมในครัวเรือนเป็นต้น
บทบาทของปัญหาและความต้องการของสังคมในการกำหนดนโยบาย
1. การดำเนินทางเศรษฐกิจไม่อาจจะปล่อยให้ดำเนินไปเองได้โดยอาศัยระบบราคาเป็นตัวชี้นำ เพราะกลไกของระบบราคายังไม่สมบูรณ์ การทำงานของระบบตลาดซึ่งอาศัยราคาเป็นตัวชี้นำยังไม่ประสบความสำเร็จ
2. ปัญหาของสาขาเกษตร ซึ่งเป็นผลมาจากความแปรปรวนทางด้านการผลิต ด้านราคา ด้านความเป็นอยู่ และปัญหาความยากจน ยิ่งทำให้รัฐต้องมีบทบาทมากขึ้นในการกำหนดนโยบายเพื่อแก้ปัญหา
3. ปัญหาของสาขาเกษตรบางเรื่องส่วนหนึ่งสามารถแก้ได้โดยกำหนดนโยบายการเกษตร แต่ปัญหาอีกส่วนหนึ่ง เช่น ปัญหารายได้ต่ำ ปัญหาความยากจน ปัญหาการมีงานทำ ต้องแก้ด้วยนโยบายอื่นๆ ที่ส่วนหนึ่งจะอยู่นอกสาขาเกษตร
เหตุผลของการมีนโยบายการเกษตร
1. เหตุผลที่รัฐต้องเข้าแทรกแซงแทนที่จะปล่อยให้ธุรกิจดำเนินไปเองก็เพราะ การทำงานของระบบตลาดขาดประสิทธิภาพ นอกจากนี้รัฐต้องคำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวม
2. การที่รัฐเข้าไปแทรกแซงมีหลายลักษณะ ส่วนใหญ่ก็มุ่งที่จะให้ตลาดได้ทำงานให้สมบูรณ์ขึ้น เช่น การสนับสนุนให้มีการแข่งขันกัน การออกกฎเกณฑ์และระเบียบข้อบังคับเพื่อเป็นแนวให้ธุรกิจเอกชนได้ ปฏิบัติตาม หรือให้สิ่งจูงใจที่จะช่วยให้เอกชนปฏิบัติตามได้
3. เหตุผลที่รัฐต้องเข้าไปแทรกแซงในการเกษตร มีเหตุผลสำคัญๆ เช่น การเกษตรประกอบด้วยผู้ผลิตรายย่อย การผลิตต้องอาศัยดินฟ้าอากาศ ผลตอบแทนจากการผลิตต่ำกว่าการผลิตในสาขาอื่น โอกาสที่เกษตรจะปรับตัวเมื่อราคาเปลี่ยนมีน้อย
ลักษณะปัญหาของสาขาเกษตร
1. การมองปัญหาการเกษตรในอดีต มองในการเพิ่มผลิตผลเพื่อเพิ่มรายได้ การเพิ่มมีทั้งขยายเนื้อที่และเพิ่มผลิตผลต่อไร่ การเพิ่มผลิตผลต่อไร่ก็เน้นเฉพาะโอกาสที่จะใช้ปัจจัยการผลิตสมัยใหม่ซึ่งต้องอาศัยระบบชลประทาน
2. ปัญหาของสาขาเกษตรในปัจจุบันมองได้หลายแง่ ทั้งในเรื่องของการกระจายรายได้ที่ไม่เป็นธรรม ปัญหาระดับรายได้ของคนในชนบทโดยเฉพาะในเขตเกษตรน้ำฝน ปัญหาเรื่องการมีงานทำของแรงงานในสาขาเกษตร
นโยบายเพื่อแก้ปัญหาของสาขาเกษตร
1. ถ้าจะเพิ่มผลิตผลต่อไร่ต้องมีนโยบายหลายอย่างทั้งในเรื่องการจัดหาปัจจัยการผลิต นโยบายราคาสินค้า และราคาปัจจัยการผลิต
2. ถ้ายกระดับรายได้ในชนบทต้องมีนโยบายเรื่องการเพิ่มการผลิตของการเกษตรที่ต้องอาศัยน้ำฝน เช่น การค้นคว้าวิจัยเกี่ยวกับพืช การจัดหางานทำนอกจากเกษตร และในช่วงฤดูแล้ง นโยบายเรื่องการศึกษาสาธารณสุข
3. การมีงานทำของแรงงานในสาขาเกษตร ถ้าในพื้นที่ได้รับชลประทานก็สนับสนุนให้มีการปลูกพืชในฤดูแล้ง การหางานทำในช่วงฤดูแล้ง การจัดหางานทำนอกเหนือจากงานในสาขาเกษตร
บทบาทของค่านิยม ความเชื่อและเหตุผลทางการเมืองในการกำหนดนโยบาย
1. นโยบายการเกษตรในแต่ละเรื่องเป็นผลมาจากความรู้สึกนึกคิดที่จะแก้ปัญหาซึ่งสะท้อนมาจากค่านิยมและความเชื่อ รวมทั้งเหตุผลทางด้านการเมือง
2. การวิเคราะห์นโยบายทั้งในเรื่องความสำเร็จในการปฏิบัติตามนโยบาย ผลดีและผลเสียของนโยบาย จำจะต้องทราบว่านโยบายในแต่ละเรื่องกำหนดขึ้นมาได้อย่างไร
3. นโยบายการเกษตรในหลายๆเรื่อง อาจกำหนดขึ้น โดยเฉพาะปัญหา หรือเพราะเชื่อว่าการแก้ปัญหาข้างต้นจะต้องแก้ไขวิธีการอย่างนั้นอย่างนี้ หรือเพราะกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง หรือพรรคการเมืองเสนอ โอกาสที่นำนโยบายไปปฏิบัติจะประสบความสำเร็จมากน้อยแค่ไหน ขึ้นอยู่กับปัจจัยเหล่านี้
ความหมายและบทบาทของค่านิยมความเชื่อและการเมืองที่มีต่อการกำหนดนโยบาย
1. ค่านิยม หมายถึง ความคิดความต้องการว่า อะไรดี อะไรไม่ดี อะไรคือสิ่งที่ต้องการ ความเชื่อ หมายถึง การที่บุคคลหรือกลุ่มบุคคลเชื่อว่าสิ่งนั้นเป็นความจริง ซึ่งอาจจะไม่จริงก็ได้แต่คนเชื่อว่าเป็นจริงการเมืองหมายถึง ความสัมพันธ์ที่เกี่ยวกับการมีอำนาจและการปกครอง
2. ค่านิยมและความเชื่อมีบทบาทมากทั้งในเรื่องนโยบายที่กำหนดและการปฏิบัติตามนโยบาย จะขัดกับความเชื่อและค่านิยมไม่ได้ ถ้าขัดกับโอกาสที่จะประสบความสำเร็จมีน้อย
นโยบายการเกษตรที่กำหนดโดยค่านิยม ความเชื่อ และจากเหตุผลทางการเมือง
1. นโยบายการเกษตรที่น่าจะเชื่อว่ามีสาเหตุมาจากความเชื่อ เช่นการมุ่งส่งเสริมให้เกษตรกรรวมตัวกันเป็นกลุ่ม เพราะเชื่อว่าถ้ารวมกันเป็นกลุ่มแล้วสามารถแก้ปัญหาต่างๆ ได้ นโยบายการจัดสร้างสถานที่เก็บรักษาพืชผลเพราะเชื่อว่าเกษตรกรต้องรีบขายเพราะไม่มีที่เก็บ นโยบายการทำหน้าที่การตลาดโดยหน่วยงานของรัฐเพราะเชื่อว่าพ่อค้าคนกลางเอารัดเอาเปรียบ
2. การที่โครงการสร้างงานในชนบทดำเนินการมานานเป็นสิบปีก็เพราะเหตุผลทางการเมือง คือถ้าไม่ดำเนินการต่อจะเป็นผลเสียในแง่ของความสนับสนุนของชาวชนบท
3. นโยบายบางอย่างที่เริ่มโดยรัฐมนตรีที่มาจากพรรคการเมืองมักจะได้รับการวิพากษืวิจารณ์มากกว่าที่มาจากรัฐมนตรีที่มิได้สังกัดพรรคการเมือง เพราะเหตุผลทางการเมือง เพราะถ้ารับเอานโยบายที่มาจากพรรคการเมืองก็จะทำให้พรรคการเมืองนั้นได้รับความนิยมมากกว่าพรรคอื่นๆ
แนวนโยบายการเกษตรและการวิเคราะห์นโยบายเกษตร
1. ผลที่เกิดจากในการพัฒนาการเกษตรย่อมเป็นผลมาจากนโยบายในอดีตเช่น นโยบายที่กำหนดจากวัตถุประสงค์ เพื่อเพิ่มผลผลิตต่อไร่ ซึ่งประกอบด้วยนโยบายเน้นการปรับปรุงระบบชลประทาน ทำให้ละเลยการเกษตรที่อยู่นอกพื้นที่ชลประทานทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำในเรื่องรายได้ระหว่างเกษตรกรในพื้นที่ชลประทานและนอกพื้นที่ชลประทาน
2. นโยบายการเกษตรในอนาคตต้องกำหนดขึ้นเพื่อแก้ปัญหาที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน เช่น ปัญหาการเพิ่มผลิตผลในเขตนอกชลประทาน หรือเขตเกษตรน้ำฝน ปัญหาความยากจน ซึ่งส่วนหนึ่งต้องแก้โดยนโยบายเพิ่มการมีงานทำ
3. นโยบายแต่ละอย่างสามารถประเมินหรือวิเคราะห์ว่าได้ผลหรือไม่เมื่อเปรียบเทียบกับค่าใช้จ่ายที่ต้องเสียไป และสามารถใช้ผลการวิเคราะห์เป็นหลักในการเปรียบเทียบนโยบายแต่ละอย่างได้
แนวนโยบายที่เป็นมาในอดีต
1. นโยบายที่สำคัญๆ ก็มีนโยบายเพิ่มรายรายได้ นโยบายเพิ่มผลิตผลต่อไร่ ผลที่เกิดขึ้นคือรายได้ต่อหัวโดยเฉลี่ยเพิ่มขึ้นจริงแต่เฉพาะในบางพื้นที่โดยเฉพาะในเขตที่ได้รับน้ำชลประทานในภาคกลาง แต่ในภาคอื่นๆยังไม่เห็นผล ในขณะเดียวกันระดับความเป็นอยู่ในชนบทส่วนใหญ่ไม่ได้มีการปรับปรุงมาก
2. นโยบายที่ควรจะเป็นในอนาคตที่สำคัญคือ การยกระดับรายได้และความเป็นอยู่ในชนบท ต้องเน้นทั้งการผลิต การบริโภค และการโภชนาการ การจัดหางานทำให้แก่แรงงานในสาขาเกษตร
นโยบายที่ควรจะเป็นในอนาคต
1. เพราะชาวชนบทส่วนใหญ่ยังยากจน และสภาพความเป็นอยู่ยังอยู่ในระดับต่ำ จะต้องมีนโยบายเพื่อยกระดับความเป็นอยู่ ซึ่งเกี่ยวข้องกับโภชนาการ การอนามัย การศึกษา ควบคู่ไปกับนโยบายทางการผลิตด้านการเกษตร
2. เพราะเกษตรกรในเขตชลประทานที่ได้รับน้ำ สามารถใช้ปัจจัยการผลิตสมัยใหม่ได้ เช่น ปุ๋ย เมล็ดพันธุ์ สามารถปลูกพืชหลายครั้งได้ทำให้มีรายได้ดีขึ้น แต่เกษตรกรที่อยู่นอกเขตชลประทาน ไม่มีโอกาสในเรื่องเหล่านี้ทำให้รายได้ของคนสองกลุ่มนี้ต่างกัน
การวิเคราะห์นโยบายการเกษตร
1. ขั้นตอนที่สำคัญๆ ก็มี การเข้าใจปัญหา การกำหนดแนวนโยบายจากปัญหาที่พบการคาดคะเนผลที่เกิดขึ้นระหว่างนโยบายแต่ละเรื่องและประเมินผล แล้วตัดสินใจเลือกนโยบาย
2. ผลกระทบของนโยบายการเกษตรเรื่องหนึ่งที่มีผลต่อผู้ผลิตและผู้บริโภคโดยพิจารณา จากส่วนเกินของผู้บริโภคและส่วนเกินของผู้ผลิต เข่น การกำหนดภาษีขาเข้าสำหรับสินค้าเกษตรบางชนิด ต้องพิจารณาดูว่าราคาก่อนขึ้นภาษีที่ผู้ผลิตได้รับ และผู้บริโภคจ่ายเป็นอย่างไร ส่วนเกินของผู้ผลิตและผู้บริโภคมีมากน้อยแค่ไหน เมื่อราคาสินค้าสูงขึ้นเพราะภาษีขาเข้า ราคาที่ผู้ผลิตได้รับ และผู้บริโภคจ่ายเป็นอย่างไร ส่วนเกินทั้งของผู้ผลิตและของผู้บริโภคเพิ่มขึ้นและลดลงอย่างไร ส่วนเกินไหนที่หายไป
(8)ให้ยกตัวอย่างและอธิบายเกี่ยวสถาบันเกี่ยวกับการตลาดสินค้าเกษตรในภาครัฐบาลและเอกชน (อธิบายมาโดยละเอียด)
ตอบ หน่วยงานมีดังนี้
1. ธกส. เป็นธนาคารของรัฐบาลที่ตั้งตึ้นเพื่อให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่เกษตรกรกลุ่มเกษตรกรหรือสหกรณ์การเกษตรในการดำเนินงานต่างๆ ตลอดจนการรับฝากเงินที่ต้องจ่ายคืนเมือ่ทวงถามหริเมื่อสิ้นระยะเวลาที่กำหนด ธกส. มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่กรุงเทพมหานคร และมีสาขาอยู่ในจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศ เท่าที่ดำเนินงานมายังมีปัญหาทางด้านความไม่เพียงพอของเงินกู้และการชำระหนี้คืนของผู้กู้
2. อคส. เป็นหน่วยงานของรัฐบาลสังกัดกระทรวงพาณิชย์ ตั้งขึ้นเพื่อช่วยรักษาระดับราคาสินค้าการเกษตร โดยการตั้งฉางข้าวและคลังสินค้าในท้องที่ต่างๆ ซึ่งเป็นแหล่งรวบรวมพืชผลการเกษตรเพื่อเก็บไว้จำหน่ายทั้งภายในและภายนอกประเทศ จัดหาและจำหน่ายสินค้าโภคภัณฑ์ที่ประชาชนจำเป็นต้องใช้ เพื่อช่วยรักษาระดับค่าครองชีพมิให้สูงเกินไป ตลอดจนการส่งเสริมการค้าของคนไทยโดยจัดให้มีบริษัทจังหวัดและร้านค้าย่อย องค์การคลังสินค้ายังประสบปัญหาบางประการในการดำเนินงานซึ่งสมควรได้รับการแก้ไขโดยเร็ว
3. อตก. จัดตั้งขึ้นเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรทั่วไปทางด้านการตลาด และทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงของกลุ่มเกษตรกรหรือสหกรณ์การเกษตรในด้านการตลาด โดยการจัดตั้งตลาดเพื่อเป็นแหล่งกลางในการรับซื้อและขายผลิตผลเกษตรกรรมของเกษตรกรในราคาที่เป็นธรรม และดำเนินการต่างๆ เพื่อช่วยให้เกษตรกรมีประสิทธิภาพในการผลิตและมีความเป็นอยู่ดีขึ้น
4. สกก. จัดตั้งขึ้นเพื่อให้สินเชื่อแก่สมาชิกทั้งในระยะสั้นและระยะปานกลาง เพื่อใช้ในการจัดหาวัสดุการเกษตร จัดหาตลาดจำหน่ายผลิตผลของสมาชิก จัดปรับปรุง บำรุงดิน ส่งเสริมการเกษตรและให้การศึกษาอบรมทางสหกรร์แก่สมาชิก สหกรรณ์การเกษตรแบ่งออกเป็นหลายระดับและดำเนินการทั้งทางด้านการให้กู้และรับฝากเงินจากสมาชิก ตลอดจนงานอื่นๆ อีกหลายประเภท การดำเนินงานของสหกรณ์การเกษตรยังมีปัญหาบางประการ เช่นการขาดแคลนเงินทุนและความไม่มีประสิทธิภาพในการดำเนินงาน
1.1.1 ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธกส.)
1. ธกส. ตั้งขึ้นเพื่อให้ความช่วยเหลือทางการเงินในการส่งเสริมอาชีพและการดำเนินงานของเกษตรกร กลุ่มเกษตรกรหรือสหกรณ์การเกษตร
2. หน่วยงานต่างๆ ของ ธกส. ประกอบด้วยฝ่ายอำนวยการ ฝ่ายการธนาคารและการบัญชี ฝ่ายเงินกู้ ซึ่งฝ่ายที่มีบทบาทต่อการเกษตรมากที่สุดน่าจะได้แก่ฝ่ายเงินกู้ ซึ่งให้เงินกู้แก่เกษตรกรเพื่อนำไปดำเนินธุรกิจต่างๆ
1.1.2 องค์การคลังสินค้า (อคส.)
1. องค์การคลังสินค้าจัดตั้งขึ้นด้วยเหตุผล 3 ประการคือ (1) เพื่อทำหน้าที่ในการพยุงราคาสินค้าเกษตร (2) เพื่อช่วยเหลือแนะนำให้เกษตรกรปรับปรุงคุณภาพของผลผลิต (3) เพื่อจัดหาสินค้าราคาถูกมาบริการประชาชน
2. องค์การคลังสินค้ามีบทบาทสำคัญ 2 ประการคือ (1) ด้านสนองนโยบายของรัฐบาล (2) ด้านการดำเนินการค้าโดยปกติ
1.1.3 องค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อตก.)
1. เป้าหมายที่สำคัญขององค์การตลาดเพื่อเกษตรกร การช่วยเหลือเกษตรกรทั่วไปทางด้านการตลาด และในเวลาเดียวกันก็ทำหน้าที่เป้นพี่เลี้ยงของกลุ่มเกษตรกรหรือสหกรร์การเกษตรในด้านตลาด วัตถุประสงค์ขององค์การตลาดเพื่อเกษตรกรคือ (1) จัดตั้งเพื่อเป็นแหล่งกลางในการซื้อขายผลิผลการเกษตร (2) ส่งเสริมและสนับสนุนให้เกษตรกรและสถาบันเกษตรกรนำผลิตผลมาขายให้แก่ผู้บริโภคโดยตรง (3) จัดหาและจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคให้แก่เกษตรกรในราคาถูก (4) ช่วยเหลือเกษตรกรทางด้านต่างๆ ทั้งทางการผลิต การจำหน่าย และการปรับปรุงวิธีการผลิตให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
2. องค์การตลาดเพื่อเกษตรกรได้รับทุนดำเนินการจาดทุนประเดิม จากเงินที่รัฐบาลจ่ายเพิ่มเติมเป็นคราวๆ จากเงินกู้ จากเงินที่ได้จากกองทุนสงเคราะห์เกษตรกร จากเงินหรือทรัพย์สินที่มีผู้อุทิศให้ และจากดอกผลของเงินและทรัพย์สินต่างๆ
3. บทบาทบางประการขององค์การตลาดเพื่อเกษตร ได้แก่ (1) การรับซื้อข้าวเปลือก การพยุงราคาและการประกันราคา (2) การรับซื้อข้าวเปลือกเพื่อชำระหนี้ค่าปุ๋ย (3) การค้าข้าวโพดและพืชไร่อื่นๆ (4) การจัดหาปุ๋ยเพื่อนำมาจำหน่ายช่วยเหลือเกษตรกร
1.1.4 สหกรณ์การเกษตร (สกก.)
1. ขอบข่ายของการดำเนินงานของสหกรณ์การเกษตรประกอบด้วย (1) ในด้านการกู้เงินและฝากเงิน (2) ในด้านการจัดซื้อหรือการรวบรวมการขายและการแปรรูป (3) ในด้านการจัดหาสิ่งของจำเป็นมาขายแก่สมาชิก (4) ในด้านการบริการและบำรุงที่ดิน (5) ในด้านการส่งเสริมการเกษตร (6) ในด้านการศึกษาอบรม
2. สหกรณ์การเกษตรยังประสบปัญหาในการดำเนินงานดังนี้ (1) ขาดความรู้ความเข้าใจในหลักการสหกรณ์ (2) ขาดบุคลากรที่มีความสามารถในการบริหารและจัดการ (3) ขาดแคลนเงินทุนดำเนินการ (4) ในการดำเนินธุรกิจไม่ครบวงจร (5) ขาดการประสานงานที่ดี
1.2 สถาบันเกี่ยวกับการตลาดสินค้าเกษตรในภาคเอกชน
1. หอการค้าไทยเป็นแหล่งรวมของบรรดาพ่อค้านักธุรกิจที่ประกอบวิสาหกิจในสาขาต่างๆ ดำเนินงานที่อยู่ในขอบเขตวัตถุประสงค์ตามข้อบังคับของหอการค้าไทย มีการจัดองค์กรสำหรับฝ่ายต่างๆ และมีการดำเนินงานทั้งในประเทศและงานต่างประเทศ ที่สำคัญได้แก่ การรับรองเอกสาร งานเผยแพร่ข่าวสาร และการให้บริการทางการค้า ตลอดจนเจรจากับผู้แทนการค้าจากต่างประเทศ
2. สภาหอการค้าแห่งประเทศไทยเป็นสถาบันทางการค้าที่เป็นศูนย์รวมของสมาคมการค้าและหอการค้าต่างประเทศ รัฐวิสาหกิจ สหกรณ์ มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมสนับสนุนทางการค้าระหว่างสมาชิกโดยมีคณะกรรมการเป็นผู้ดำเนินการ และมีผลงานการดำเนินการทางการค้าด้านต่างๆ มาก
3. สถาบันประกันภัย สถาบันประกันภัยพืชผลเป็นการช่วยลดภาระการเสี่ยงจากภัยธรรมชาติและช่วยให้เกษตรกรมีความมั่นใจว่าจะได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนลงแรงของตนเองมากขึ้นกว่าเดิม การประกันภัยพืชผลในประเทสไทยยังมีขอบเขตจำกัดมากและมีปัญหาอุปสรรคหลายประการที่ควรได้รับการแก้ไขให้ดีขึ้น
4. บริษัทการค้าเอกชนมีบทบาทและความสำคัญต่อกิจการเกษตรของไทยมากโดยการเป็นผู้ส่งสินค้าการเกษตรที่สำคัญออกนอกประเทศ เป็นผู้จัดหาและจัดจำหน่ายวัสดุการเกษตร ตลอดจนเป็นผู้ผลิตสินค้าการเกษตรเพื่อการบริโภคของประชาชน
1.2.1 หอการค้าไทย
บทบาทของหอการค้าไทยทางด้านการเกษตรมีมาก เช่น การจัดรวบรวมสถิติต่างๆ การเป็นผู้แทนเจรจากับต่างประเทศเพื่อจัดตั้งเป็นชมรมเพื่อส่งสินค้าออก ตลอดจนการร่วมมือกับรัฐบาลในคณะกรรมการร่วมภาครัฐบาลและเอกชนเพื่อพัฒนาประเทศ
1.2.2 สภาหอการค้าไทย
ผลการดำเนินงานของสถานการณ์ของสภาหอการค้าแห่งประเทสไทยอาจแบ่งออกเป็นด้านต่างๆ ดังนี้
2 การดำเนินการตามที่รัฐบาลมอบหมาย เช่น การออกใบรับรองมาตรฐานสินค้าการตรวจสอบมาตรฐานข้าวส่งออกและการค้ำประกันการส่งข้าวโพดออกนอกประเทศ
3 การให้ข้อเสนอแนะรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาการค้า เช่น การให้ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับนโยบายการส่งเสริมการส่งออก การจัดให้มีการสัมมนาในเรื่องต่างๆ
4 การให้ความร่วมมือกับทางราชการและเอกชนในทางเศรษฐกิจและการค้า เช่น การพิจารณาข้อร้องเรียนและข้อคิดเห็นของทางราชการและผู้ประกอบธุรกิจ การประสานกับสภาหอการค้าไทยในการดำเนินงาน
5 การจัดทำข้อตกลงทางการค้ากับต่างประเทศ
1.2.3 สถาบันประกันภัยพืชผล
วัตถุประสงค์ของการประกันพืชผลคือ การช่วยเหลือเกษตรกรที่ผลิตผลทางการเกษตรได้รับความเสียหายจากภัยธรรมชาติเพื่อให้ได้รับการชดเชยรายได้ส่วนที่ขาดไป และเพื่อให้มีเงินทุนสำหรับใช้ในการเพราะปลูกต่อไป
การดำเนิการทางด้านการประกันภัยพืชผลในประเทสไทยยังไม่ประสบผลสำเร็จนัก เนื่องจากมีปัญหาหลายประการ เช่น เกษตรกรยังไม่เข้าใจหลักการในเรื่องการประกันภัยพืชผล ยังขาดแคลนเงินทุน ขาดความร่วมมือจากฝ่ายต่างๆ การให้ความคุ้มครองเฉพาะพืชบางชนิดและการบริหารยังต้องพึ่งหน่วยงานบางแห่งจากส่วนกลาง ซึ่งทำให้เกิดความไม่สะดวกและมีความไม่คล่องตัวมาก
1.2.4 บริษัทการค้าเอกชน
บริษัทเอกชนมีบทบาทต่อการเกษตรของไทยทางด้าน (1) การส่งออก (2) การผลิต (3) การจัดหารและจัดจำหน่าย (4) ทางด้านอื่นๆ
บริษัทเอกชนมีความสำคัญต่อการเกษตรมาก เนื่องจากเป็นผู้ช่วยให้เกษตรกรสามารถได้วัสดุการเกษตร ขายและได้ความรู้ทางด้านการเกษตรจากบริษัทเหล่านั้น
1.3 สถาบันระหว่างประเทศที่เกี่ยวกับการตลาดสินค้าเกษตร
1. องค์การน้ำตาลระหว่างประเทสจัดตั้งขึ้นตามข้อตกลงที่ว่าด้วยน้ำตาลระหว่างประเทศ โดยทำหน้าที่เป็นผู้ปฏิบัติตามความตกลง เพื่อวัตถุประสงค์ในการบริหารและให้คำปรึกษาหารือในการปฏิบัติงานเกี่ยวกับสมาชิกภาพ อำนาจหน้าที่ซึ่งกำหนดขึ้นในความตกลงแต่ละฉบับ องค์การน้ำตาลระหว่างประเทสมีสำนักงานตั้งอยู่ในกรุงลอนดอน มีบทบาทในการควบคุม จัดสรรโควตาการส่งน้ำตาลออกและการสั่งน้ำตาลเข้าของประเทศสมาชิก ซึ่งประกอบด้วยประเทศใหญ่ๆ หลายประเทสรวมทั้งประเทศไทยด้วย
2. องค์การยางธรรมชาติระหว่างประเทสจัดตั้งขึ้นจากผลของความตกลงเรื่องยางธรรมชาติระหว่างประเทศขององค์การสหประชาชาติ เมื่อปี 2523 มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศสหพันธ์สาธารณรัฐมาเลเซีย โดยมีวัตถุประสงค์ในการรักษาระดับราคายางธรรมชาติในตลาดโลกให้มีเสถียรภาพด้วยการซื้อขายยางเข้ามูลภัณฑ์กันชน การดำเนินงานหลังจากการจัดตั้งยังไม่สู้ประสบความสำเร็จนัก เนื่องจากไม่สามารถทำให้ราคายางธรรมชาติอยู่ในระดับที่ผู้ผลิตต้องการ และมักต้องแข่งขันกับยางสังเคราะห์และการทุ่มตลาดของบางประเทศ
1.3.1 องค์การน้ำตาลระหว่างประเทศ
การเป็นสมาชิกขององค์การน้ำตาลระหว่างประเทสช่วยให้ประเทศไทยได้รับการจัดสรรโควตาการส่งออกน้ำตาลในแต่ละปีค่อนข้างจะแน่นอน และจะเป็นประโยชน์ต่ออุตสาหกรรมน้ำตาลของไทยมากขึ้น ถ้าโควตาที่ได้รับทำให้สามารถขายน้ำตาลที่ผลิตได้และเหลือจากการบริโภคภายในได้หมด ซึ่งจะทำให้เกษตรกรมีรายได้ที่แน่นอนและได้ราคาขายอ้อยที่ไม่ต่ำเกินไป อย่างไรก็ตามถ้าเกิดความผันผวนในเรื่องราคาและปริมาณการผลิตตลอดจนการลดลงของการบริโภคของน้ำตาลในตลาดโลก ก็จะมีผลทำให้โควตาที่ไทยได้รับต้องลดลงและมีผลกระทบต่อการผลิตน้ำตาลและการปลูกอ้อยของไทยด้วย เท่าที่ผ่านมานับว่าไทยได้ประโยชน์จากการเข้าเป็นสมาชิกขององค์กรน้ำตาลระหว่างประเทศมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงระหว่างปี 2524-2526 ซึ่งประเทศไทยส่งออกน้ำตาลปีละกว่า 1 ล้านตัน
1.3.2 องค์การยางธรรมชาติระหว่างประเทศ
การดำเนินงานขององค์การยางธรรมชาติระหว่างประเทศเท่าที่ผ่านมายังมีปัญหาโดยเฉพาะอย่างยิ่งการควบคุมราคาเนื่องจากยางธรรมชาตินั้นยังเป็นตลาดของผู้ซื้อและต้องยอมรับราคา (Price Taker) และต้องแข่งขัน อย่างมากกับยางสังเคราะห์ซึ่งเป็นที่นิยมของผู้ใช้มาก นอกจากนี้ราคายังอาจเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากมายถ้ามีการทุ่มตลาดในประเทสที่มียางเก็บไว้ในสต็อกมาก แนวทางแก้ไขได้แก่การให้ความร่วมมือระหว่างประเทสผู้ผลิตให้มากยิ่งขึ้น ตลอกจนการควบคุมปริมาณการผลิตและการขยายตลาดให้กว้างขวางยิ่งขึ้น
(9) จงอธิบายเกี่ยวกับนโยบายกรมส่งเสริมการเกษตร
ตอบ
1. ให้ความสำคัญกับการดำเนินงานโครงการพระราชดำริและการเสด็จตรวจเยี่ยมโครงการของทุกพระองค์ โดยมีแผนปฏิบัติงานในแต่ละพื้นที่ของโครงการที่ชัดเจน ดำเนินการอย่างจริงจัง ต่อเนื่อง มีการวัดผลสำเร็จที่เป็นรูปธรรม
2. การขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกพืชเศรษฐกิจ ให้เป็นไปตามเป้าหมาย ทันตามกำหนดเวลา
3. เร่งรัดการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบภัยธรรมชาติ ส่งเสริมฟื้นฟูให้เกษตรกรกลับมาประกอบอาชีพการเกษตรได้ในระยะเวลาอันสั้น
4. ศึกษาติดตามสถานการณ์ศัตรูพืช เพื่อวางระบบป้องกัน สามารถให้ความช่วยเหลืออย่างทันท่วงทีตั้งแต่การระบาด รวมทั้งพัฒนาให้เกษตรกรและชุมชนสามารถบริหารจัดการศัตรูพืชได้ด้วยตนเอง
6. เปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการส่งเสริมการเกษตรอย่างกว้างขวาง โดยจัดให้มีอาสาสมัครเกษตรหมู่บ้าน(อกม.)ครบทุกหมู่บ้าน เพื่อช่วยสนับสนุนการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ส่งเสริมการเกษตรในพื้นที่
7. พัฒนาศักยภาพของเกษตรกร องค์กรเกษตรกร วิสาหกิจชุมชนและเครือข่ายต่างๆให้เข้มแข็งพึ่งตนเองได้ เพื่อเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาภาคเกษตรกรให้เกิดความยั่งยืน
8. พัฒนาบุคลากรทุกระดับของกรมส่งเสริมการเกษตร ด้วยรูปแบบและวิธีการที่หลากหลาย เป็นธรรม มีประสิทธิภาพ
การปฏิบัติงานโครงการและภารกิจทุกเรื่องต้องมีประสิทธิภาพเป็นไปตามแผนปฏิบัติงาน มีการควบคุมกำกับและติดตามงานอย่างเป็นระบบในทุกระดับ ให้เกิดผลสำเร็จตามเป้าหมายที่กำหนด
นโยบายและแนวทางการดำเนินงานส่งเสริมการเกษตร ทั้ง 9 ข้อนี้ เจ้าหน้าที่ส่งเสริมการเกษตรทุกระดับต้องนำไปปฏิบัติให้เกิดผลสำเร็จ ซึ่งจะต้องมีการจัดทำแผนการปฏิบัติการในแต่ละเรื่องที่ชัดเจน มีการมอบหมายผู้รับผิดชอบ มีการควบคุมกำกับการดำเนินงานและการสนับสนุนผู้ที่เกี่ยวข้องในทุกระดับ เพื่อให้การดำเนินงานส่งเสริมการเกษตรเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้เกษตรกรมีคุณภาพชีวิตที่ดีและมีความสุขอย่างยั่งยืนต่อไป
(10) จงอธิบายแนวคิดการส่งเสริมให้กลุ่มเกษตรมีความเป็นสหกรณ์ตามหลักการสหกรณ์สากล
ตอบ
แนวคิดส่งเสริมให้กลุ่มเกษตรมีความเป็นสหกรณ์ตามหลักการสหกรณ์สากล
หลักการและเหตุผล
เพื่อการพัฒนากลุ่มเกษตรกรให้สามารถบริการสมาชิกของกลุ่มได้เช่นเดียวกับสหกรณ์จึง
ต้องพัฒนาให้กลุ่มเกษตรกรสามารถช่วยเหลือตนเองและช่วยเหลือซึ่งกันและกันในหมู่สมาชิกกลุ่มเกษตรกรและระหว่างกลุ่มเกษตรกรด้วยกันไม่เพียงหวังรวมกลุ่มกันเพื่อรอรับความช่วยเหลือจากภาครัฐบาลเพียงอย่างเดียว
สมาชิกกลุ่มเกษตรกร จะได้รับ คุณประโยชน์ (Benefit) จากการรวมกันเป็นกลุ่มเกษตรกร ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ ด้านสังคมของกลุ่มเกษตรกร และ ดำรงไว้ซึ่งวัฒนธรรมอันดีงาม จากการปฏิบัติตามปรัชญาสหกรณ์ เพื่อเชื่อมโยงกลุ่มเกษตรกรไทยกับกลุ่มเกษตรกรในประเทศในประชาคมอาเซียน ห้เป็นหนึ่งเดียวกัน เป็นเครือข่ายกลุ่มเกษตรกรประชาคมอาเซียน ภายในปี พ.ศ. 2558 ประเทศไทยสามารถ เผยแพร่แนวคิดทฤษฏีใหม่ และปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง อันเนื่องมาจากพระราชดำริผ่าน เครือข่ายกลุ่มเกษตรกรประชาคมอาเซียน ไปยังกลุ่มประเทศอาเซียน ให้ประเทศสมาชิกประชาคมอาเซียนสามารถนำแนวคิดทฤษฏีใหม่และระบบแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงตามพระราชดำริ
ไปใช้ในการพัฒนาประเทศของเค้าเหล่านั้น ให้มีความสุข ความเจริญ บนความพอเพียง ประเทศในกลุ่มประชาคมอาเซียน ไม่แข่งขันกัน แต่จะรวมตัวกันอย่างแนบแน่น ในฐานะกลุ่มประเทศผู้ผลิตอาหารเลี้ยงชาวโลก เพื่อผลิตอาหารเลี้ยงชาวโลก และดำเนินอุตสาหกรรมการเกษตรด้านการผลิตอาหารที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม อันส่งดีกลับมายังสมาชิกกลุ่มเกษตรกรในประเทศในประชาคมอาเซียนเอง และสมาชิกกลุ่มเกษตรกรไทยมีความสุขความเจริญอย่างยั่งยืน
บทวิเคราะห์แนวคิดข้อเสนอ
1. นำหลักการสหกรณ์สากล มาใช้ในกลุ่มเกษตรกร ให้ครบถ้วน จนสมาชิกกลุ่มเกษตรกร สามารถใช้วิธีการสหกรณ์ในการดำเนินการเช่นเดียวกับสมาชิกสหกรณ์สากลตามปรัชญาสหกรณ์
2. ให้การศึกษาอบรมกลุ่มเกษตรกร ในเรื่องหลักการ สหกรณ์ ให้สมาชิกสหกรณ์มีอุดมการณ์สหกรณ์ เพื่อพัฒนาตนเองและกลุ่มให้มีความสุขความเจริญตามปรัชญาสหกรณ์
3. นำกลุ่มเกษตรกร เข้าร่วมเครือข่ายกับ ขบวนการสหกรณ์ไทย ในฐานะเทียบเท่ากับสหกรณ์ประเภทการเกษตรตามหลักการสหกรณ์ข้อที่6
4.เชื่อมโยงกลุ่มเกษตรกรไทยกับกลุ่มเกษตรกรประเทศอาเซียน
5. เชื่อมโยงกลุ่มเกษตรกร ทำธุรกรรมประกันชีวิต และประกันภัย เชื่อมโยงกับบริษัทสหประกันชีวิต มหาชน จำกัด บริษัทประกัน ฯ ของชาวสหกรณ์ เพื่อเป็นปัจจัย ขับเคลื่อน กลุ่มเกษตรกรไทย สู่ความเป็นอิสระของกลุ่มเกษตรกรตามหลักการสหกรณ์ข้อที่4
6. เผยแพร่ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และทฤษฏีใหม่ สู่กลุ่มประเทศอาเซียน ผ่าน ขบวนการกลุ่มเกษตรกร เมื่อขบวนการกลุ่มเกษตรกรอาเซียนมีความเชื่อมโยงกัน เพื่อประเทศในภูมิภาคอาเซียนจะได้นำ ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และทฤษฏีใหม่ ไปใช้ในการพัฒนาประเทศของตนให้ประชาชนมีความสุข ความเจริญ
ผลที่คาดว่าจะได้รับ
1.สมาชิกกลุ่มเกษตรกรสามารถพึ่งพาตนเองได้หลังจากพึ่งพากลุ่มเกษตรกรในระยะเริ่มต้น
2.สมาชิกกลุ่มเกษตรกรช่วยเหลือซึ่งกันและกันด้วยความเชื่อมั่นระหว่างกันด้วยจิตใจเสียสละ
3.มีการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ระหว่างกลุ่มเกษตรกร ด้วยกันเอง และกลุ่มเกษตรกรกับขบวนการสหกรณ์ และบริษัทสหประกันชีวิต ซึ่งจะทำให้กลุ่มเกษตรกรมีทุน และกิจกรรมอันส่งผลประโยชน์ต่อสมาชิกกลุ่มเกษตรกรในทุกๆด้าน
4. มีขบวนการกลุ่มเกษตรกร ในกลุ่มประเทศอาเซียน มีการเชื่อมโยงกัน ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมผ่านขบวนการกลุ่มเกษตรกร
5. สมาชิกกลุ่มเกษตรกร มีความสุข ความเจริญ บนความพอเพียง ของการทำธุรกรรมกับกลุ่มเกษตรกร
ตัวชี้วัดความสำเร็จ
1.สมาชิกกลุ่มเกษตรกรสามารถพึ่งพาตนเองได้หลังจากพึ่งพากลุ่มเกษตรกรในระยะเริ่มต้น
2.สมาชิกกลุ่มเกษตรกรช่วยเหลือซึ่งกันและกันด้วยความเชื่อมั่นระหว่างกันด้วยจิตใจเสียสละ
3.มีการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ระหว่างกลุ่มเกษตรกร ด้วยกันเอง ปราศจากการแทรกแซงของภาครัฐ
4. สมาชิกกลุ่มเกษตรกร มีความสุข ความเจริญ บนความพอเพียง ของการทำธุรกรรมกับกลุ่มเกษตรกร